1. จงอธิบายความหมาย และเปรียบเทียบความแตกต่างของเทคโนโลยี Web 1.0 Web 2.0 และ Web 3.0
เทคโนโลยีแห่งการเรียนรู้ หรือ Learning Technology ได้รวม computer-based learning และอุปกรณ์มัลติมีเดีย การใช้เครือข่าย และระบบการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบการใช้ที่เรียกว่า
Learning with Technology ได้แก่
                - Drill and Practice
- Tutorials
- Information Retrieval Systems
- Simulations
- Microworlds
- Cognitive tools for learning
- Productivity tools
- Communication tools
ส่วนรูปแบบการใช้ Learning About Technology มีการประยุกต์ใช้ภาษาของโปรแกรมและซอฟต์แวร์เพื่อควบคุมอุปกรณ์

2.จงวิเคราะห์ผลกระทบที่การประยุกต์ใช้ รูปแบบ Learning With Technology แต่ละแบบ น่าจะมีต่อครูและผู้เรียน
ผลกระทบที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้รูปแบบ Learning With Technology แต่ละแบบ ที่น่าจะมีต่อครูและผู้เรียน
เช่น
- Drill and practice
                ให้การเสริมแรงทางความคิดของผู้เรียนที่ได้เรียนรู้มาก่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับคำถาม ปฏิสัมพันธ์ในการตอบคำถาม และให้ข้อมูลป้อนกลับที่เหมาะสมกับผู้เรียน นอกจากนี้อาจใช้เกมเพื่อเพิ่มแรงจูงใจของผู้เรียนอีกด้วย

- Tutorials
                ใช้สอนแนวคิดและกระบวนการใหม่ๆ แก่ผู้เรียนในรูปแบบที่เป็นโครงสร้าง ซอฟต์แวร์นี้รวมตัวอย่างและให้โอกาสผู้เรียนได้ประเมินความเข้าใจจากคำถาม คำตอบ และข้อมูลป้อนกลับ นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลป้อนกลับและปรับการนำเสนอให้สอดคล้องกับผู้ เรียน โดยอิงจากการปฏิบัติของผู้เรียนอีกด้วย
                - Information Retrieval Systems
                ใช้จัดเก็บความรู้ในรูปแบบที่เป็นโครงสร้างและให้ผู้เรียนดูผ่านๆหรือ ค้นหาข้อมูลที่ต้องการจากฐานข้อมูลออนไลน์ เช่น พจนานุกรม สารานุกรม hypertext และ hypermedia reference systems
                - Simulations
                ช้แสดงผลการทดลอง สถานการณ์จริง หรือสถานการณ์ที่สมมติขึ้น โดยการใช้กราฟฟิกปฏิสัมพันธ์ และให้ความสามารถแก่ผู้เรียนในการมองเห็นกระบวนการและสำรวจผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงตัวแปรในการดำเนินการของระบบ
                - Microworlds
                ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมในการแก้ปัญหา ยกตัวอย่างเช่น เพิ่มการใช้เครื่องหมายในโรงเรียนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ใน Mathland Microworld เป็นต้น
                - Cognitive tools for learning
                ความรู้ต่างๆ จะถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยเชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับมาใหม่กับความรู้ที่มีอยู่แล้วจากแหล่งต่างๆ
                - Productivity tools
                ใช้สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยปรับปรุงคุณภาพของกระบวนการเรียน รู้และพัฒนาความสามารถในการผลิตของผู้เรียนจากการประยุกต์ใช้ word processors, spreadsheets, databases, graphics, desktop publishing และ presentation packages
                - Communication tools
                ให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความคิดเห็นและข้อมูล ร่วมมือ ทำงานร่วมกัน และสามารถใช้เครื่องมือเพื่อเสนอและพิมพ์ผลงานของผู้เรียน รวมทั้งข้อคิดเห็นของครูที่มีต่องานของผู้เรียน

3.บอก ความหมาย และ ลักษณะเฉพาะ ของเทคโนโลยี Web2.0 พร้อมยกตัวอย่างเครื่องมือ / สื่อ / บริการ ที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่นี้
                Web2.0 เป็นเทคโนโลยีของเวิลด์ ไวด์ เว็บ หรือเว็บไซต์ที่มีหัวข้อในการปฏิสัมพันธ์ มีความสามารถในการสื่อสาร 2 ทาง จึงนิยมนำมาใช้บูรณาการเทคโนโลยีในชั้นเรียน ตัวอย่างเครื่องมือของ Web2.0 เช่น
- blog
- wiki
- Interactive online games และ visual world
- RSS feeds
- podcasting
- videoconferencing

4.เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง เทคโนโลยี Web1.0 และ เทคโนโลยี Web2.0
Web. 1.0 เป็นการใช้และให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว เว็บหนึ่งเว็บจะมีผู้ใช้เพียงหนึ่งคนคือ webmaster หรือผู้สร้างเว็บ เป็นผู้ให้ข้อมูล แต่เพียงฝ่ายเดียวและ ผู้เข้าชมเว็บเป็นผู้รับข้อมูล ต่อมา Web 1.0 เริ่มเสื่อมความนิยมลง เพราะเป็นการรับ หรือส่งข้อมูลเพียงฝ่ายเดียว ขาดการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้สร้างและผู้เข้าชม ไม่มีการสะท้อนความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้
Web 2.0 จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการสื่อสารแบบมีปฏิสัมพันธ์ มีการสร้าง Blog เพื่อให้สามารถให้ผู้เขียนสามารถเขียนคำวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็น และมี wiki ที่สามารถ Update และแก้ไขเนื้อหาที่ post ลงไป นอกจากนี้ยังมี Interactive Online Games, Video posting, feed podcasting videoconferencing และ Social Networking site ตัวอย่างของเว็บ 2.0 ที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันได้แก่ การรับและส่งอีเมล์ (E-Mail), การเข้าห้องสนทนาหรือ Chat Room, การดาวน์โหลดข้อมูล ภาพและเสียง หรือไม่เราอาจจะก็ใช้ Search Engine เช่น Google เพื่อหาข้อมูล เพื่อรับทราบข่าวสาร หรือทำรายงาน และรวมทั้งการใช้ Web board เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแชร์คลิปวีดีโอที่ทำเองให้คนอื่นได้เข้ามาดูใน YouTube และออกความคิดเห็น รวมทั้งดาวน์โหลดวิดีโอเพื่อนำไปเก็บได้ สมัครรับข่าวสารผ่านระบบ RSS ฯลฯ

5.วิเคราะห์ผลกระทบที่เทคโนโลยี Web2.0 มีต่อการเรียนรู้ และ การจัดการศึกษา ทั้งในแง่บวกและลบ

แง่บวก
1.       มีการโต้ตอบและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
2.        เทคโนโลยี Web2.0 บางเว็บถูกออกแบบมาในรูปแบบ Multimedia ซึ่งเอื้อต่อการเรียนรู้และการใช้ประโยชน์
3.       ประหยัดเวลา เงิน และอำนวยความสะดวกสบายในการผลิตสื่อของครูผู้สอน
4.        เทคโนโลยี Web2.0 มีมากมายสามารถเอื้อต่อเนื้อหาที่หลากหลาย และเหมาะกับระดับผู้เรียนที่หลากหลาย
5.     ประหยัดเวลาในการเดินทางสำหรับผู้เรียนทางไกล ผู้เรียนสามารถใช้ Videoconference ในการเรียนการสอนหรือการทำงานกลุ่ม และส่งงานหรือรับข้อมูลป้อนกลับผ่านทาง e-mail
6.     ในปัจจุบันการสื่อสารติดต่อ หรือ ทำความรู้จักผ่าน social networking ต่างๆ สามารถช่วยพัฒนาการด้านสังคม และปฏิสัมพันธ์ได้ในระดับหนึ่งถ้ามีการใช้อย่างเหมาะสม ด้วยสังคมในโลก cyber ที่เปิดกว้างและค่อนข้างไร้ข้อจำกัดสามารถเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้สังคม ต่างวัฒนธรรมได้ รวมไปถึง community ต่างๆที่มีการทำกิจกรรมสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ต่อการใช้เวลาว่าง เช่น web 2.0 ที่เป็น interactive website สามารถเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจให้เด็กได้แสดงออกด้านความนึกคิด และความสามารถของตนเอง

แง่ลบ
1.     เทคโนโลยี Web2.0 บางเว็บไม่เหมาะสมกับผู้เรียนที่ไม่มีวุฒิภาวะและขาดวิจารณญาณในการรับรู้ ข้อมูล ดังนั้น ครูผู้สอนจึงควรคำนึงถึงวัยและความน่าเชื่อถือของเว็บดังกล่าว
2.       เว็บหรือเกมบางเกมสะท้อนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และความรุนแรง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมเลียนแบ
3.     การที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่างๆได้รวดเร็วและสะดวก ทำให้นักเรียนคัดลอกงานของผู้อื่น จึงไม่เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
4.     เนื่องจากจำนวนของผู้เรียนมีมาก และ ผู้เรียนส่วนใหญ่ใช้ อินเตอร์เน็ตจากที่บ้านทำให้ครูและ พ่อแม่ ผู้ปกครองไม่สามารถมีเวลาใกล้ชิดดูแลเด็กได้เท่าที่ควร อีกทั้งวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดสื่อประเภทต่างๆมากมาย และสามารถเข้าถึงได้ง่ายในปัจจุบัน เช่น เกมส์ อินเตอร์เน็ต เว็ปไซต์ประเภท social networking ต่างๆ (hi5, facebook, bimbo, etc) สังเกตได้ว่าเด็กและเยาวชนในยุคนี้ใช้เวลากับสื่อต่างๆเหล่านี้มาก และด้วยประเภท และความหลากหลายของสื่อต่างๆเหล่านี้ ทำให้การรู้เท่าทันสื่อของเด็ก หรือแม้แต่ของผู้ปกครองเองไม่เพียงพอ เมื่อเด็กที่ขาดวุฒิภาวะในการเลือกรับสื่อ บวกกับการขาดความรู้ ความเข้าใจของพ่อแม่ต่อผลกระทบของสื่อ จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงในการรับรู้ หรือเสพสื่อของเด็กในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ความเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้เพื่อประโยชน์เชิงพัฒนาการของเด็กได้ง่าย
6.ศึกษา งานวิจัยเกี่ยวกับผลที่ WEB2.0 มีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ในตอนท้ายเอกสาร ว่าวิจัยอะไรอย่างไร ดำเนินการวิจัยด้วยวิธีการหลักอะไร
                คณะนักวิจัยได้พัฒนา Learning Project โดยการใช้เทคโนโลยี Web 2.0 โดยให้นักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษระดับก้าวหน้าอายุ 12 ปี จำนวน 4 คน และผู้ปกครองของนักเรียนเหล่านั้นทำงานร่วมกัน โดยกำหนดชิ้นงานที่เหมาะสมให้นักเรียน โดยต้องการสร้างความรู้ที่เพิ่มจากเดิม และนำเสนอสิ่งใหม่ โดยต้องใช้ทฤษฏีเกี่ยวกับทักษะในการเรียงลำดับความคิดขั้นสูง constructivist approaches และ multiple- intelligences นักเรียนและผู้ปกครองจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน โดยผู้ปกครองเป็นคนแนะนำ และเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นงานวิจัยเรื่อง Representation and Text เน้นความหมายที่ใช้แสดง สื่อ รูปแบบ มุมมอง และอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับภาษาในข้อความที่แตกต่างกันมีผลต่อความหมายที่ สื่อออกมา รวมทั้งความเข้าใจในด้านความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงออกและความหมาย งานวิจัยนี้ต้องมีการศึกษาจากการกำหนดข้อความระดับแนวหน้า พร้อมการเลือกข้อความเพิ่มจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ในขอบเขตของผู้ชมและสื่อ

7.ประเด็นคำถามอะไรบ้างที่งานวิจัยตั้งขึ้น ตามวิธีวิจัยหลัก
1.       ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้เรียนรู้หรือไม่?
ตอบ นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการลักษณะนิสัยของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน นักเรียนจำเป็นต้องใช้ เทคโนโลยีผ่านทางคอมพิวเตอร์ในการรับรู้และพัฒนาข้อมูล ผู้วิจัยสรุปว่า นักเรียนได้ถูกสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้

2. พ่อแม่หรือผู้ปกครองเกี่ยวข้องกับการคิดค้นและการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือไม่?
ตอบ ผู้ปกครองมีส่วนในการกระตุ้นและให้กำลังใจนักเรียน และมีบทบาทเช่นเดียวกันกับครู การที่สอนให้ผู้ปกครองสามารถใช้ web ต่างๆ ในการเรียนรู้ของนักเรียน ทำให้นักเรียนได้ใช้ web 2.0 ในการเรียนได้ดีขึ้น

3. ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการใช้ web 2.0 หรือ web1.0 ดีกว่ากัน?
ตอบ ใน web 2.0 ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้ดีกว่า ไม่เหมือนกับใน web 1.0 ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการอ่านแต่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือร่วมมือกันทำ งานได้



4. มีการประยุกต์ใช้มัลติมีเดียให้เกิดประโยชน์อย่างแพร่หลายในการสร้างชิ้นงานหรือไม่?
ตอบ การพิจารณาชิ้นงานที่ให้ผู้เรียนทำ ได้พิจารณาจาก เทคโนโลยีใน web 2.0 ซึ่งมีส่วนจำเป็นในกระบวนการเรียนรู้ ผู้เรียนจำเป็นต้องประยุกต์ใช้มัลติมีเดียที่หลากหลาย

5. มีการสร้างชิ้นงานที่หลากหลายเอื้อต่อทักษะในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และความฉลาดในด้านที่แตกต่างกันของผู้เรียนหรือไม่?
ตอบ ครูต้องคำนึงถึงการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และความฉลาดในด้านที่แตกต่างกันของผู้เรียน ต้องมีการออกแบบชิ้นงานที่มีความหลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับ Gardner’s Multiple Intelligences

8.จงอภิปราย แสดงความเห็น ต่อสิ่งที่งานวิจัยสรุปไว้ ในแต่ละประเด็นคำถาม เช่น
•“Tell me, and I forget. Show me, and I remember. Involve me and I understand.”
ตอบ การเรียนรู้โดยการนั่งฟังการบรรยายทำให้ผู้เรียนเกิดการเข้าใจแค่ช่วงสั้นๆ แต่นานไปก็ลืม การสาธิต หรือการแสดงให้ดูนั้นทำให้ผู้เรียนจำได้ แต่การที่ให้ผู้เรียนได้มีส่วนในการเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจ เช่น ในวิชาวิทยาศาสตร์ ต้องการให้นักเรียนเรียนเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ หากครูเล่าหรือบรรยายนักเรียนอาจจะเข้าใจแค่ช่วงนั้น แต่นานไปก็ลืม หากครูทำการทดลองหรือแสดงภาพเคลื่อนไหว นักเรียนก็สามารถจดจำได้ แต่หากครูตั้งประเด็นคำถามและให้นักเรียนลงมือทำหรือหาคำตอบด้วยตนเองนัก เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้

                •“social interaction plays a fundamental role in the development of cognition.” (Vygotsky, 1978 ตอบ การที่นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่มทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมต้องมีการสื่อสารเพื่อถ่ายทอด ข้อมูลซึ่งกันและกัน นั่นทำให้เกิดการเรียนรู้ จากงานวิจัยที่กล่าวว่า มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวอยู่เสมอ จึงอธิบายได้ว่าการเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวด ล้อมในสังคม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ร่วมสมัย เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและผู้เรียนจะต้องพบเจอสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากมาย ผู้เรียนจะต้องเลือกสังเกตสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ นอกจากนี้ ผู้เรียนต้องสามารถที่จะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร และจะต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ด้วย ซึ่งทฤษฎีสามารถนำมาใช้ได้ทั้งอดีตและปัจจุบันเพราะผู้เรียนก็คือมนุษย์และ ลักษณะนิสัยพื้นฐานของมนุษย์นั้นมักจะเลือกจดจำหรือเลียนแบบพฤติกรรมจากสิ่ง แวดล้อมรอบข้างทั้งจากผู้สอน เพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือบุคคลในครอบครัว เช่น ผู้เรียนบางคนจะเลียนแบบพฤติกรรมของอาจารย์ผู้สอนโดยจะกระทำตัวเป็นผู้นำ หรือสอนการบ้านเพื่อนๆ เพราะเห็นว่าพฤติกรรมของอาจารย์ผู้สอนเป็นพฤติกรรมที่ดีได้รับการยอมรับ ผู้เรียนจึงอยากกระทำตาม เป็นต้น

•“learning is an active process in which learners construct new ideas or concepts based upon their current / past knowledge” (Bruner, 1966)
ตอบ Bruner มีหลักการที่สำคัญว่า ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำ (active) และสร้างความรู้ โดยอาศัยความรู้เดิมของตน ได้ให้ชื่อการเรียนรู้ของท่านว่า “Discovery Approach” หรือ การเรียนรู้โดยการค้นพบ และเชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหา ผู้เรียนจะประมวลข้อมูลข่าวสาร ความรู้เดิมของตนเอง และถือว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ด้วยตนเอง ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์และพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน การเรียนรู้จะเกิดจากการที่ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบใหม่ กับความรู้เดิมแล้วนำมาสร้างเป็นความหมายใหม่

•In a classroom there are no two students who learn the exact same way as another … กับแนวคิดของ Gardner: Multiple Intelligences
ตอบ ไม่มีใครที่ไม่สามารถเรียนรู้ไม่ได้ หากแต่เขามีความถนัดในการรับรู้ที่แตกต่างกัน การที่เราจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาด หรือมีความสามารถมากน้อยเพียงใด โดยดูจากระดับสติปัญญาหรือไอคิว ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาเป็นมาตรวัด ก็อาจได้ผลไม่ถูกต้อง เพราะว่าวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วนเท่านั้น ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบในปัจจุบันไม่สามารถวัดได้ครอบคลุม ถึง เช่น เรื่องของความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา และความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น
Howard Gardner อธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) ได้เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป


  

2.การติดตั้ง appserv 2.5.10 





เริ่มจาก ดับเบิ้ลคลิกโปรแกรมขึ้นมาครับ จะได้หน้าตาแบบนี้ครับ

ให้คลิก Next ครับ จะได้หน้าตาแบบนี้มาครับ

หน้านี้เป็นกฏระเบียบและอธิบายต่าง ๆ เกี่ยวกับโปรแกรมเค้าครับ กด I Agree เพื่อยอมรับครับ จากนั้นจะได้หน้าตาแบบนี้ครับ


เป็นการเลือกที่อยู่ในการลงโปรแกรมครับ แนะนำให้เอาค่ามาตรฐานของมันครับ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง อิอิ เอาไว้เก่ง ๆ แล้วถึงเปลี่ยนมันครับ  ให้กด Next ต่อไปเลยครับ จะได้ภาพต่อไป

ในหน้านี้ จะเป็นการเลือกว่าจะติดตั้งอะไรบ้างครับ แนะนำให้ติดตั้งครบทุกอย่างเลยครับ แล้วกด Next ต่อไปได้เลยครับ จะได้รูปต่อไปครับ


ส่วนนี้เป็นการตั้งค่าชื่อ host และอีเมลล์ครับ ส่วนใหญ่แล้วจะใส่ localhost ทั้งสองช่องเลยครับ ( แนะนำให้ใส่ localhost ) หลังจากนั้น Next เพื่อไปยังหน้าต่อไปเลยครับ


ในส่วนของหน้านี้ ให้ทำการใส่ password เพื่อเป็น password ในการเข้าใช้ฐานข้อมูลครับ จำไว้ให้ดีนะครับ ส่วนนี้สำคัญสำหรับผู้ที่จะใช้ฐานข้อมูล MySQL ครับ ในส่วนที่สอง Character Set ให้เลือกเป็น TIS-620 ครับ เพื่อใช้ฐานข้อมูลเป็นภาษาไทยนะครับ หรือใครจะตั้งเป็น UTF-8 ก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวผมแนะนำ TIS-620 ครับ  ส่วนข้างล่าง 2 อัน แนะนำให้ติกครับ แล้วกด Install ได้เลยครับ ในช่วงนี้ รอสักแปปนึงครับ แล้วจะได้หน้าจอดังนี้ครับ


ถ้ามาถึงหน้าจอนี้แล้ว แสดงว่าติดตั้งสำเร็จแล้วครับ ในส่วนการติ๊กถูก 2 ช่องนั้นคือ ต้องการที่จะ run Apache และฐานข้อมูล MySQL เลยหรือไม่ ถ้าต้องการ run ก้ให้ติ๊กถูกไว้ครับ แล้วก็ Finish เพื่อจบการติดตั้งได้เลยครับ

หลังจากนั้น ก็ใช้งานกันได้เลยครับ แล้วบทความหน้า ผมจะมาบอกวิธีการ add ไฟล์ฐานข้อมูล Mysql (.sql) ลงฐานข้อมูล MySQL กันครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แผ่นบูตและโปรแกรมป้องกันและกำจัดไวรัสใน USB Drive

คำสั่ง network บน Dos เบื้องต้น

จุลดิศ พินิจพาระ